Echoes of the End การเดินทางสุดยิ่งใหญ่สู่โลกเหนือจินตนาการ

Echoes of the End การเดินทางสุดยิ่งใหญ่สู่โลกเหนือจินตนาการ

รีวิว Echoes of the End ฉบับเต็ม: สมหวังหรือผิดหวัง? มหากาพย์แห่งไอซ์แลนด์ที่ต้องสัมผัส

บทนำ (Introduction)

หลังจากที่ปล่อยให้เกมเมอร์ทั่วโลกรอคอยด้วยความคาดหวังมาอย่างยาวนาน ในที่สุดมหากาพย์จากสตูดิโอสัญชาติไอซ์แลนด์ Myrkur Games อย่าง Echoes of the End ก็ได้วางจำหน่ายให้เราได้พิสูจน์กันเสียที จากวันแรกที่ผมเห็นเทรลเลอร์ซึ่งเต็มไปด้วยภาพทิวทัศน์อันน่าทึ่งและคำมั่นสัญญาถึงเรื่องราวที่ลึกซึ้ง ผมก็ปักหมุดเกมนี้ไว้ในใจทันที และวันนี้ หลังจากที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันหนาวเหน็บและงดงามใบนั้น จบสิ้นการเดินทางของ 'รูน่า' เป็นที่เรียบร้อย ผมพร้อมแล้วที่จะมาตอบคำถามที่ทุกคนอยากรู้: มันสมกับการรอคอยที่แสนยาวนานหรือไม่? นี่คือบทรีวิวฉบับเต็มที่กลั่นกรองจากประสบการณ์การเล่นจริงทุกหยาดหยด บอกเล่าถึงสิ่งที่น่าประทับใจ จุดที่น่าขบคิด และข้อบกพร่องที่ไม่อาจมองข้าม ของหนึ่งในเกมที่ทะเยอทะยานที่สุดแห่งยุคครับ

Runa ตัวละครหลักใน Echoes of the End ยืนอยู่กลางทุ่งหญ้า

รูปแบบการเล่น (Gameplay)

Echoes of the End คือเกมแอ็กชันผจญภัยมุมมองบุคคลที่สามที่มอบประสบการณ์อันหนักแน่นสมคำร่ำลือจริงๆ ทีมพัฒนาไม่ได้โกหกเลยเมื่อพวกเขากล่าวว่าจะเน้นการต่อสู้ที่ต้องใช้ความคิดและจังหวะ ทุกการกระทำในสนามรบล้วนมีความหมายและผลลัพธ์ที่ชัดเจน

การต่อสู้ที่ท้าทายและระบบ "เสียงสะท้อน" อันเป็นเอกลักษณ์

หัวใจของการต่อสู้ในเกมนี้คือความอดทนและการอ่านจังหวะ การบุกเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังมีแต่จะนำไปสู่ความตายอย่างรวดเร็ว ผมต้องเรียนรู้รูปแบบการโจมตีของศัตรูแต่ละชนิด ใช้โล่ปัดป้อง (Parry) ในจังหวะที่แม่นยำเพื่อเปิดช่องสวนกลับ และบริหารค่า Stamina อย่างรอบคอบ มันให้ความรู้สึกที่สะใจทุกครั้งที่สามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งได้ แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ระบบการต่อสู้ของเกมนี้พิเศษกว่าใครคือกลไก "เสียงสะท้อน" (Echoes) ครับ พลังของรูน่าไม่ใช่แค่การปล่อยคลื่นพลัง แต่คือการดึงเอาภาพเหตุการณ์ในอดีตมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการต่อสู้ ผมสามารถใช้พลังนี้เพื่อมองเห็นการโจมตีล่วงหน้าของบอส หรือสร้างร่างเงาจากอดีตขึ้นมาช่วยรุมโจมตีได้ชั่วขณะ มันเป็นระบบที่ลุ่มลึกและถูกนำมาผสมผสานกับการต่อสู้ได้อย่างชาญฉลาด

การต่อสู้ในเกม Echoes of the End ตัวละคร Runa เตรียมพร้อมต่อสู้กับศัตรู

การสำรวจโลกที่งดงามแต่แฝงด้วยความว่างเปล่า

โลกของเกมนี้คือพระเอกตัวจริง การเดินทางผ่านภูมิประเทศที่ถอดแบบมาจากไอซ์แลนด์นั้นคือประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน ทุ่งลาวาสีดำที่ตัดกับมอสสีเขียวสด, ถ้ำน้ำแข็งที่ส่องประกายระยิบระยับ, และแสงเหนือที่เต้นระบำบนท้องฟ้า ทุกย่างก้าวคือความตื่นตาตื่นใจ พลังของ Unreal Engine 5 ถูกนำมาใช้อย่างเต็มศักยภาพจริงๆ ครับ กลไก "เสียงสะท้อน" ยังถูกนำมาใช้ในการไขปริศนาได้อย่างยอดเยี่ยม เช่น การมองย้อนอดีตเพื่อดูว่าทางลับถูกเปิดอย่างไร หรือใครเป็นคนนำวัตถุสำคัญไปซ่อนไว้ที่ไหน อย่างไรก็ตาม ผมต้องยอมรับว่าในความงดงามนั้นมีความว่างเปล่าซ่อนอยู่บ้างในบางพื้นที่ โลกที่กว้างใหญ่ไพศาล รู้สึกโหรงเหรงเกินไป การเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอาจใช้เวลานานโดยไม่เจออะไรที่น่าสนใจนัก ซึ่งเป็นจุดที่น่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับโลกที่สวยงามขนาดนี้

ทิวทัศน์อันกว้างใหญ่และสวยงามในเกม ซากปรักหักพังโบราณที่รอการสำรวจ

เนื้อเรื่องและตัวละคร (Story & Characters)

การเดินทางของรูน่าคือหัวใจและจิตวิญญาณของ Echoes of the End อย่างแท้จริง เนื้อเรื่องหลักมีความยาวประมาณ 30 ชั่วโมง และมันคือ 30 ชั่วโมงที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นทางอารมณ์ การสืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับพลังของตัวเองและโศกนาฏกรรมในอดีตของเธอถูกเล่าขานผ่านคัตซีนที่กำกับมาอย่างยอดเยี่ยมและบทสนทนาที่เฉียบคม

Runa มองไปยังอนาคตที่ไม่แน่นอน

พัฒนาการของรูน่าและเงาของตัวละครรอง

ผมรักการเติบโตของตัวละครรูน่า จากเด็กสาวที่ไม่มั่นใจในพลังของตัวเอง เธค่อยๆ เรียนรู้และยอมรับในชะตากรรม กลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ การแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าและเสียงพากย์ทำได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับเธอได้อย่างง่ายดาย ความสัมพันธ์ของเธอกับ 'บียอร์น' นักรบชราผู้เป็นอาจารย์ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าจดจำ แต่ในทางกลับกัน ผมรู้สึกว่าตัวละครสมทบอื่นๆ ยังขาดมิติไปสักหน่อย พวกเขามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง แต่กลับไม่มีเรื่องราวเบื้องหลังหรือพัฒนาการที่น่าสนใจเท่าที่ควร ทำให้เมื่อถึงจุดพลิกผันที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเหล่านั้น ผมจึงไม่ได้รู้สึกกระทบใจมากเท่าที่ควรจะเป็น

ตัวละครในเกมสนทนากัน ภาพระยะใกล้ของ Runa แสดงอารมณ์

กราฟิกและการนำเสนอ (Graphics & Presentation)

หากจะหาคำนิยามให้กับงานภาพของเกมนี้ คงไม่มีคำไหนเหมาะสมไปกว่า "ผลงานศิลปะชิ้นเอก" Myrkur Games ได้รีดประสิทธิภาพของ Unreal Engine 5 ออกมาจนหยดสุดท้าย สร้างสรรค์โลกที่สวยงามและสมจริงที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาในวงการเกม

ภาพที่ทุกเฟรมคือวอลล์เปเปอร์และเสียงที่ตราตรึง

รายละเอียดของพื้นผิว, แสงเงาที่ตกกระทบ, และระยะการมองเห็นที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง การได้ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองลงมายังหุบเขาเบื้องล่างที่ปกคลุมด้วยหิมะคือช่วงเวลาที่ทำให้ผมต้องหยุดเล่นเพื่อชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง ดนตรีประกอบก็เป็นอีกหนึ่งพระเอกของงาน เสียงดนตรีพื้นบ้านสไตล์นอร์สที่ผสมผสานกับวงออเคสตร้าสุดอลังการช่วยสร้างบรรยากาศได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันสามารถปลุกเร้าอารมณ์ในฉากต่อสู้ที่ดุเดือด และขับเน้นความโดดเดี่ยวอ้างว้างในระหว่างการเดินทางได้อย่างยอดเยี่ยม

ทิวทัศน์ภูเขาหิมะอันน่าทึ่ง แสงเหนือบนท้องฟ้าในเกม สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของหินและพืช การออกแบบสภาพแวดล้อมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไอซ์แลนด์

ประสิทธิภาพและบั๊ก (Performance & Bugs)

นี่คือหัวข้อที่ผมต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด และเป็นรอยด่างพร้อยที่สำคัญของเพชรเม็ดงามนี้ครับ ต้องยอมรับว่าช่วงที่เกมเปิดตัวนั้น ประสบการณ์ด้านประสิทธิภาพค่อนข้างเลวร้าย ผมที่เล่นบน PC สเปกค่อนข้างสูงยังต้องเจอกับอาการเฟรมเรตตกอย่างรุนแรงในพื้นที่ที่มีรายละเอียดเยอะๆ รวมถึงบั๊กที่ทำให้เควสไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ผมต้องให้เครดิตทีมพัฒนาที่ทำงานอย่างหนัก หลังจากแพตช์แก้ไขออกมาหลายครั้งในเดือนแรก ประสบการณ์การเล่นก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บั๊กใหญ่ๆ ถูกแก้ไขไปเกือบหมดแล้ว แต่การจะเล่นเกมนี้ให้ลื่นไหลบนการตั้งค่าระดับสูงสุด ก็ยังคงต้องการฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังมากๆ อยู่ดีครับ

ฉากแอ็คชั่นที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

มูลค่าและความคุ้มค่า (Value & Replayability)

ด้วยเนื้อเรื่องหลักที่ยาวประมาณ 30 ชั่วโมง และหากคุณเป็นสายสำรวจที่ต้องการทำเควสรองและเก็บของสะสมให้ครบ คุณสามารถใช้เวลาในโลกของเกมนี้ได้ถึง 50-60 ชั่วโมงเลยทีเดียว ในแง่ของความคุ้มค่าด้านเวลาถือว่าสอบผ่านฉลุยครับ อย่างไรก็ตาม ในด้านการกลับมาเล่นซ้ำ (Replayability) อาจไม่สูงนัก เนื่องจากเนื้อเรื่องเป็นเส้นตรงและไม่มีทางเลือกที่ส่งผลกระทบต่อฉากจบอย่างมีนัยสำคัญ แต่เกมก็มีโหมด New Game+ ให้คุณได้กลับไปลุยอีกครั้งด้วยอาวุธและสกิลทั้งหมดที่มีอยู่ ถือเป็นเกมที่คุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นที่โหยหาประสบการณ์แบบเล่นคนเดียวที่เต็มอิ่มและมีคุณภาพสูง

Runa เดินทางในโลกอันกว้างใหญ่ ฉากที่แสดงถึงการเดินทางอันยาวนาน

บทสรุป (Conclusion)

สรุปแล้ว Echoes of the End คือ "เพชรเม็ดงามที่มีริ้วรอย" มันคือความสำเร็จอันน่าทึ่งในด้านการเล่าเรื่อง การสร้างโลก และการนำเสนอทางศิลปะที่ก้าวล้ำ แต่กลับถูกบั่นทอนด้วยปัญหาด้านประสิทธิภาพในช่วงเปิดตัวและข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ในการออกแบบโลกที่ยังไม่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคือเกมที่มอบประสบการณ์ที่น่าจดจำ การเดินทางของรูน่าจะตราตรึงอยู่ในใจผมไปอีกนาน และโลกที่ Myrkur Games สร้างขึ้นคือหนึ่งในสถานที่เสมือนจริงที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา

หากคุณเป็นผู้เล่นที่ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้น, หลงใหลในงานภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด, และชื่นชอบระบบการต่อสู้ที่ท้าทายและต้องใช้ความคิด ผมขอแนะนำให้คุณหยิบ Echoes of the End มาเล่นโดยไม่ลังเล แม้จะต้องเผชิญกับข้อบกพร่องทางเทคนิคอยู่บ้าง แต่นี่คือมหากาพย์แห่งไอซ์แลนด์ที่คุณต้องสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิตครับ

ภาพสุดท้ายที่น่าประทับใจของ Echoes of the End

สัมผัสประสบการณ์มหากาพย์แห่งไอซ์แลนด์ด้วยตัวคุณเอง

สั่งซื้อเกม Echoes of the End ได้ที่นี่

0 ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็นในบทความนี้ มาเป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็นกันเถอะ!

แสดงความคิดเห็นของคุณ